ความรัก ความศรัทธา และความกล้าหาญ
มนุษย์ที่ชั่วช้าสารเลวเยี่ยงยะซีด(ล.น) และพวกพ้องนั้น ไม่สามารถนำไปเปรียบกับสิงสาราสัตว์หรือภูตผีปีศาจได้ เนื่องจากความระยำตำบอนของพวกมันนั้น แม้แต่สิงสาราสัตว์หรือภูตผีปีศาจก็ยังไม่กระทำและไม่ยอมรับที่จะให้เข้าเป็นพวกพ้อง ดังนั้นสถานพำนักนักอันถาวรของพวกมันจึงเป็นนรกอเวจี
ผู้คนจำนวนมากไม่เข้าใจว่า ทำไมมุสลิมชีอะฮ์จึงมีความโศกเศร้ากับการเป็นชะฮีดของอิมามฮูเซน ราวกับว่าเหตุการณ์ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อพันกว่าปีก่อน ราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
วันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม วันอาชูรอ เป็นวันแห่งการเป็นชะฮีดของอิมามท่านที่สามในสายธารชีอะฮ์ 12 อิมาม ฮูเซน บิน อะลี ในปี ค.ศ.680 หรือ ฮิจเราะฮ์ศักราช 61
บรรดาชีอะฮ์ ได้แสดงความโศกเศร้า โดยการใช้ฝ่ามือตบลงไปที่หน้าอก ร้องไห้ คร่ำครวญ
เรื่องราวแห่งอาชูรอ นับเป็นเรื่องราวที่แสนเศร้า เป็นเรื่องราวของความโหดร้าย เป็นเรื่องราวของความสูญเสีย เป็นเรื่องราวของความเศร้าโศก เป็นเรื่องราวของความรัก เป็นเรื่องราวของความศรัทธา และเป็นเรื่องราวของความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว
อิมามฮูเซน บุตรชายของอิมามอะลี เป็นหลานชายของท่านศาสดา พร้อมด้วยครอบครัว ลูกหลาน และสหายที่ซื่อสัตย์ ได้ยืนหยัดต่อสู้กับกองทัพของยะซีด บิน มุอาวียะห์ ที่จงเกลียด จงชัง ในลูกหลานผู้บริสุทธิ์ของท่านศาสดา อีกทั้งยังทำลายคุณค่าของอิสลาม
เพียงแค่เราย้อนถึงเหตุการณ์ที่นำไปสู่วันที่เจ็บปวดนั้น เรื่องราวต่างๆก็จะไม่เป็นปริศนาอีกต่อไป แม้จะพยายามปกปิดสักขนาดไหนก็ตาม
ความร้อนและความกระหาย ริมฝีปากที่แห้งกรังนั้น ที่ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อนเอ่ยเพื่อร้องทุกข์ เพราะเกรงว่าจะทำให้อิมามฮูเซนต้องกังวล
ความกระหาย นึกภาพดูเถิด วาดภาพดูเถิด จินตนาการดูเถิด ความกระหายที่เกิดจากศัตรูได้กีดกันทั้งชายหญิงและเด็กๆจากแหล่งน้ำ นับเป็นการคร่าชีวิตอย่างโหดเหี้ยมที่สุด
อับบาสน้องชายของอิมามฮูเซน อาสานำน้ำมาสู่กระโจมที่พัก รีบเร่งไปยังแม่น้ำยูเฟรติส นิ้วมือได้สัมผัสพื้นผิวน้ำที่เย็นฉ่ำ แต่กลับไม่ดื่ม ไม่ดื่มแม้ว่าทุกเส้นใยในร่างกายจะเรียกร้องหาน้ำ เนื่องเพราะคำนึงถึงเมาลาและเด็กๆที่เรียกร้องหาน้ำ
ศัตรูจู่โจม อับบาสเสียแขน เขาหยิบถุงน้ำด้วยแขนที่เหลืออยู่ และคาบไว้ที่ปากก่อนที่แขนอีกข้างจะถูกตัดออก ธนูดุจห่าฝนจู่โจมใส่ร่าง ตกลงจากหลังม้าและถูกฟันที่ศีรษะจนไม่มีกำลังที่จะเคลื่อนไหว จึงร้องเรียกอิมามฮูเซนว่า “พี่จ๋า ท่านอยู่ที่ไหน” อิมามฮูเซนปัดป่ายป้องกันศัตรูและเร่งรีบไปที่ด้านข้างของอับบาส โอบอุ้มอับบาสไว้ในอ้อมแขน กระทั่งหมดลมหายใจ
ทารกน้อย อะลี อัสกัร หายใจรวยริน หมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะร้องไห้ ไม่มีน้ำในร่างกายสำหรับน้ำตาอีกต่อไป อิมามฮูเซนตัดสินใจ พร้อมที่จะให้เหตุผลกับศัตรูถึงภาวะที่ขาดน้ำ ภาวะที่หิวกระหายของทารกน้อยวัยหกเดือน
อิมามฮูเซน เผชิญหน้ากับศัตรู แสดงให้พวกเขาได้เห็น อะลี อัสกัร บอกกับพวกเขาว่า ตัวท่านเองไม่ได้แสวงหาน้ำเพื่อตัวเอง แต่เพื่อเด็กๆ พยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขา แต่ก็ไม่เป็นผล มีแต่ความเกลียดชังแผ่ซ่านในทุกการตอบสนอง เสียงลูกศรพุ่งแหวกฝ่าอากาศ หยาดฝนสีแดงสดโปรยปราย ร่างกายของทารกไม่สั่นสะท้านด้วยเสียงสะอื้นไห้อีกต่อไป อิมามฮูเซนมองไป เห็นลูกศรปักตรึงที่ลำคอของทารกน้อยวัยหกเดือน
อนิจจา….อะลี อัสกัร ไม่ต้องการน้ำอีกต่อไปแล้ว อิมามฮูเซนสาดเลือดของลูกชายสู่ท้องฟ้าพร้อมด้วยเสียงร้องที่ก้องกังวาลว่า “ยาอัลลอฮ์ โปรดรับการพลีเล็กน้อยนี้จากฉันด้วยเถิด”
คนๆ หนึ่งจะทนต่อความเจ็บปวดได้มากแค่ไหน?
คนๆ หนึ่งสามารถทนต่อการสูญเสียได้มากแค่ไหน?
ท่านหญิงไซนับ น้องสาวของอิมามฮูเซน ยืนอย่างสงบนิ่งเพื่อมิให้อิมามฮูเซนต้องกังวล ปกปิดความปวดร้าวของตัวเอง คอยเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้หญิงทุกคนในกระโจมที่กำลังจับจ้องมองดู เพราะหากท่านหญิงไซนับล้มลง พวกเขาก็จะล้มเช่นกัน ท่านหญิงได้แสดงถึงความแข็งแกร่ง ความเด็ดเดี่ยว พร้อมแบกรับน้ำหนักของโลกทั้งใบไว้บนบ่า โดยไม่เคยย่อท้อหรือแสดงจุดอ่อนเลยแม้แต่น้อย
ท่านหญิงไซนับเมองดูร่างที่ฉีกขาด แหลกเหลวของผู้เป็นลูกชาย ทีละคน ทีละคน พี่น้องที่ไร้แขน ทีละคน และไม่มีคำพูดใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากของเธอเลย ท่านหญิงไซนับคือความสงบ ที่ทุกคนหันไปหาในช่วงเวลาที่สิ้นหวัง
เมื่อความเศร้าโศกมากเกินกว่าจะทนรับได้ เธอพูดเพียงว่า
“ความประสงค์ของอัลลอฮ์คือ ความประสงค์ของฉัน”
ท่านหญิงไซนับยืนอยู่บนยอดเนินที่สามารถมองเห็นสนามเลือด เฝ้าดูเสาหลักแห่งความแข็งแกร่งของเธอ พี่ชายสุดที่รักของเธอ มุ่งสู่ชะตากรรมของการพลีชีพ ซึ่งสิ่งนี้ได้ถูกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อหลายปีก่อนโดยท่านศาสดา
ไซนับยืนอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนไหวไปไหน สอดสายตาติดตามพี่ชายในทุกอริยบถ รู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่ถูกฟัน มันมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะรับได้ ท่านหญิงทรุดตัวลงกับพื้น ทรุดตัวลงเพียงเพื่อที่จะยืนขึ้นอีกครั้ง
เมื่อฮูเซนวิ่งเข้าหาศัตรู หัวใจของไซนับก็จะวิ่งตามไปด้วย.
ไซนับมองเห็นอับดุลลอฮ์ ทารกหนุ่มวัยห้าขวบ สลัดหลุดจากผู้เป็นแม่ วิ่งไปที่สนามรบ เด็กน้อยวิ่งไปหาอาฮูเซนของเขา และพยายามที่จะทำให้ผู้ที่กำลังฟัน ยุติการฟัน
นี่เป็นตรรกะของเด็กๆที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ที่เขาคิดว่า จะสามารถเอาชนะคนร้ายและทำให้พวกคนร้ายละวางจากอาฮูเซนของเขาไว้ตามลำพังได้ อับดุลลอฮ์วิ่งไปถึงท่านอาฮูเซน พยายามปกป้องร่างกายด้วยมือเล็กๆ แต่อนิจจา คมดาบนั้นไม่เข้าใจเหตุผล
เลือดไหลออกมาจากมือที่ขาดของเด็กชายตัวเล็ก ๆ อับดุลลอฮ์เริ่มร้องไห้ แต่ก็ไม่ยอมที่จะละทิ้งอาฮูเซนของเขา อิมามฮูเซนใกล้ถึงจุดวิกฤตแล้ว แต่ก็ยังฝืนเพื่อที่จะปลอบทุกข์อับดุลลอฮ์
“ไม่เป็นไร หนูน้อย…เราจะไปอยู่กับพ่อกับแม่เร็วๆ นี้… อีกไม่นานเราจะเป็นอิสระ” อิมามฮูเซนปลอบใจเด็กน้อยที่หวาดกลัว
ฝูงศัตรูที่จู่โจมยังไม่สะใจกับการหลั่งเลือดของอิมามฮูเซน ได้เข้าไปทำลายกระโจมพักของสตรีและเด็กที่ปราศจากที่พึ่ง จุดไฟเผาเต็นท์ เฆี่ยนตีเด็กๆและผู้ที่รอดชีวิต พร้อมทั้งปล้นสะดม
เด็กๆ วิ่งท่ามกลางผืนทรายที่เต็มไปด้วยหนามโดยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน พวกป่าเถื่อนที่ปราศจากกลิ่นอายของความเป็นมนุษย์ สนุกสนานกับความหายนะที่พวกเขาสร้างขึ้น ความทุกข์ทรมานของ อะฮ์ลุลบัยต์ ยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากพวกเขาจะถูกบังคับให้เดินต่อไป ด้วยเท้าเปล่าไปยังดามัสกัส ถูกบังคับให้เดินตามหลังหัวหน้าชายหนุ่มแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกตัดศีรษะเสียบไว้ที่ปลายหอก
ไม่จำเป็นเลย ที่ท่านต้องเป็นชีอะฮ์หรือเป็นมุสลิม ที่จะหวั่นไหวกับเหตุการณ์อันน่าสยดสยองของวันอันแสนเศร้าเหล่านั้น
โศกนาฏกรรมของอาชูรอ จะทิ้งร่องรอยถาวรไว้บนจิตวิญญาณของจิตวิญญาณที่เป็นอิสระและเห็นอกเห็นใจ โดยไม่คำนึงถึงศาสนาหรือเชื้อชาติ
วีรกรรมแห่งกัรบาลา โศกนาฏกรรมของอาชูรอ จะยังคงอยู่และจะแพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก ด้วยเสียงตอบรับที่ดังกึกก้องว่า “ลับบัยกะ ยา ฮูเซน”