10เหตุผลหลัก คำว่า “เมาลา” คือผู้ปกครอง ไม่ใช่ “เพื่อน”

74

10เหตุผลหลัก คำว่า “เมาลา” ซึ่งให้ความหมายเป็นอื่นไม่ได้เว้นแต่ นายหรือผู้ปกครองเท่านั้น

จากคำกล่าวของท่านนบี ศ็อลฯในคุฏบะฮแห่งฆอดีรที่ว่า:

من كنت مولا فهذا علي مولاه…

“ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของเขา ดังนั้นอะลีคนนี้ก็คือนายของเขาเช่นกัน”

อุลมาอฺทุกมัศฮับยืนยันว่าเหตุการณ์แห่งฆอดีรกุม นั้นคือเหตุการณ์ที่มุสลิมทุกคนต้องให้ความสำคัญเพราะนั้นคือเหตุการณ์ซึ่งเป็นทางนำของมวลมุสลิมอย่างแท้จริง!! เหตุการณ์ของฆอดีรเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถปิดบังข้อเท็จจริงได้โดยพื้นฐานแล้วไม่มีเหตุผลใดที่จะปิดบังข้อเท็จจริงนั้นได้อีกประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครจากนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการที่ออกมาปฏิเสธถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของฆอดีร ยกเว้นมีเพียงไม่กี่คนที่เท่านั้นยังไม่เข้าใจต่อเรื่องราวดังกล่าวและตีความหมายของคำว่า مولا ที่แปลว่านายเหนือหัวให้เป็นอย่างอื่นไปได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเนื่องจากสหายของท่านศาสดา ศ็อลฯ จำนวนมากอีกทั้งพวกเขายังเป็นผู้บันทึกและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฆอดีรกุม เมื่อเป็นเช่นนั้นคำถามจึงเกิดตามมาว่า อะไรที่ทำให้ประวัติศาสตร์เกิดการเบี่ยงเบนขึ้น?!!

และเกิดอะไรขึ้นกับที่ผู้ที่ได้รับรองจากท่านศาสดาว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของเขา ดังนั้นอะลีคนนี้ก็คือนายของเขาเช่นกัน” ซึ่งท่านต้องนั่งอยู่แต่ในบ้านโดยไม่คิดโต้แย้งใดๆ?!! และมันเกิดอะไรขึ้นที่คนกลุ่มแรกได้สาบานว่าจะจงรักภักดีต่ออาลี (อ.)ในการเป็นผู้นำและเป็นนายแต่สุดท้ายแล้วต้องกลายเป็นผู้ต่อต้านในข้อตกลงนั้น?!! และเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาไม่เกินสามเดือนหลังจากเหตุการณ์ผ่านไปต้องกลายไปเป็นอื่นอย่างน่าสงสัย?!!และที่สำคัญคำว่า مولا (เมาลา) ตามคำบอกเล่าของท่านศาสดาคือนายแต่ได้เปลี่ยนไปเป็นความหมายว่ามิตรหรือที่รัก?!!

มาดูเหตุผลกันว่าทำไมมันจึงเกิดขึ้นเช่นนั้น..

เหตุผลที่หนึ่ง: กรุอานกล่าวถึงที่มาของเรื่องราวนี้ว่า:

« یا أیّها الرّسول بلّغ ما اُنزل اِلیک من رّبک وإن لّم تفعل فما بلّغت رسالته»

“โอ้ นบี จงประกาศสาสน์ที่พระองค์ประทานลงมา หากเจ้าไม่ไประกาศเท่ากับเจ้าไม่ได้เผยแพร่ศาสนามาเลย” มาอิดะฮ/ 67

อายะฮนี้เป็นที่รู้กันว่าถูกประทานลงมายังท่านนบีขณะที่ท่านกลับจากการประกอบพิธีฮัจญครั้งสุดท้ายของท่านอะไรคือสิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงสั่งให้นบีต้องประกาศหากและนบีไม่ประกาศสิ่งนั้นแล้วเท่ากับว่าการเผยแพร่ศาสนาที่ผ่านมาก็ไร้ผล เมื่อมันเป็นคำสั่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญถึงขนาดนี้ ต้องการเพียงแค่จะบอกว่าอะลี คือมิตรและผู้ช่วยเหลือแค่นั้นเหรอ?!!

เหตุผลที่สอง: พระองค์กล่าวต่อจากอายะฮข้างต้นว่า:

وَاللَّهُ يَعْصِمُكَ مِنَ النَّاسِ إِنَّ اللَّهَ لَا يَهْدِي الْقَوْمَ الْكَافِرِينَ

“พระองค์ทรงปกป้องท่านจากกลุ่มชนที่คิดไม่ดีกับท่านเอง และพระองค์ไม่ทรงชี้นำแก่กลุ่มชนที่ปฏิเสธ”มาอิดะฮ/67

หลังจากที่พระองค์มีคำสั่งมายังท่านนบี ศ็อลฯ ให้ประการสาสน์อันสำคัญนั้นออกไปแล้ว คำถามตามมาคือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ท่านนบีต้องพะวงกลัวหากประกาศสิ่งสำคัญที่พระองค์ทรงสั่งนั้นออกไปแล้ว ซึ่งพระองค์ได้ให้คำรับรองท่านนบีว่า เจ้าไม่ต้องกลัวพระองค์จะปกป้องเจ้าจากมนุษย์ผู้คิดจะปองร้ายเจ้าเอง?!! และคำถามที่สองคือทำไมพระองค์จึงให้สมญานามแก่ผู้ที่คิดจะปองร้ายและคิดจะต่อต้านท่านนบีจากคำประกาศนั้นถึงขนาดที่ว่าพวกเขาคือกาฟิร(ผู้ปฏิเสธ)?!!

เหตุผลที่สาม: หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปพระองค์จึงประทานโองการต่อเนื่องที่เกี่ยวพันธ์กับเหตุการณ์ว่า:

« ألیوم أکملت لکم دینکم أتممت علیکم نعمتی و رضیّت لکم ألاسلام دینا »

“วันนี้เราได้ทำให้ศาสนาของเจ้าสมบูรณ์แล้ว และเราได้ทำให้เนียะมันอันยิ่งใหญ่แก่พวกเจ้าแล้ว และเรามีความพอใจในศาสนาของพวกท่าน” มาอิดะฮ/3

อายะฮนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าถูกประทานลงมาหลังจากเหตุการณ์แห่งฆอดีรเกิดขึ้นและเป็นที่ประจักของเหล่าสาวกทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั่น คำถามมีว่า การที่นบีได้ประกาศตามคำสั่งของพระองค์แก่ประชาชนในวันนั้นเพียงท่านจะบอกว่าอลีคือเพื่อนของท่าน แค่นี้เป็นเหตุที่ต้องทำให้ศาสนาสมบูรณ์เลยกระนั้นเหรอ?!!

เหตุผลที่สี่: ท่านนบี ศ็อลฯ ก่อนที่ท่านจะเป่าประกาศออกไปว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของเขา ดังนั้นอะลีก็เป็นนายของเขาเช่นกัน” นั้นท่านได้ถามสาวกของท่านต่อหน้าทุกคนว่า:

ايهاالناس الست اولي بکم من انفسکم

“โอ้ประชาชาติ! ฉันไม่ได้เหมาะสมในการเป็นนายของพวกท่านดอกเหรอ?”

สาวกทุกคนที่ได้ยินเสียงถามของท่านนบี ศ็อลฯในวันนั้นต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช่พระองค์และรอซูลของพระองค์คือนายของพวกเรา!! คำถามมีว่าเป็นไปได้หรือที่ท่านบีจะกล่าวว่า ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของพวกเขา ดังนั้นอะลีคนนี้คือเพื่อนของของเขา?!!

เหตุผลที่ห้า: จะเห็นได้ว่าในเหตุการณ์แห่งฆอดีรกุมนั้นหลังจากที่ท่านศาสดา ศ็อลฯได้ประกาศแต่งตั้งในการเป็นอิมามัตผู้นำของท่านอลีเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ท่านได้อ่านดุอาอฺบทนี้ที่ว่า:

« أللّهم وال من والاه و عاد من عاداه و أحب من آحبِّه و أبغض من أبغضه»

“โอ้พระองค์ ทรงโปรดช่วยเหลือต่อผู้ที่ช่วยเหลืออะลี โปรดเป็นศัตรูต่อผู้ที่เป็นศัตรูกับเขา โปรดให้ความรักต่อผู้ที่รักเขา และทรงเกลียดชังต่อผู้ที่ให้ความเกลียดชังต่อเขา” ดังนั้นถ้าคำว่า مولا ให้ความหมายว่าเพื่อน ท่านนบีคงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องขอพรจากพระองค์ และที่สำคัญจากเหตุการณ์นั้นคำว่า مولا แน่นอนที่สุดจะต้องให้ความหมายว่า นาย หรือผู้ปกครองเพราะมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ในวันนั้นมากกว่าของความหมายว่าเพื่อน..

เหตุผลที่หก:อัซซาน บินซาบิต นักคลอนผู้โด่งดังแห่งอาหรับ ยังให้ความหมายของคำว่า مولا คือผู้เป็นนาย ท่านได้คลอนบทหนึ่งว่า:

«ینادیهم یوم الغدیر نبیّهم***بخمّ و اسمع بالرسول منادیا/ فقال فمن مولاکم ونبیّکم…»

“นบีของพวกเขาได้เรียกพวกเขามาในวันแห่งฆอดีรที่ฆอดีรอกุม ให้สาวกจงฟังในสิ่งที่นบีจะพูดออกไป ซึ่งนบีได้กล่าวว่า ใครก็ตามที่ฉันเป็นนายของพวกเขาและเป็นนบีของพวกเขา..อะลีก็คือนายของพวกเขาด้วย” ซึ่งในวันนั้นสาวกที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่มีใครสักคนที่สงสัยในเรื่องดังกล่าวต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันทั้งหมดว่า อะลีคือนายและหัวหน้าของพวกเขาต่อจากท่านศาสดา..

เหตุผลที่เจ็ด:เหตุการณ์ในวันนั้นซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนระอุของแสงแดดแห่งทะเลยทรายยามบ่ายคล้อยท่านนบีได้ประกาศให้สาวกรวมตัวกันซึ่งสาวกที่รวมตัวกันในวันนั้นมีมากถึงหนึ่งแสนคน และท่านนบีเพียงแค่ต้องการที่จะบอกกับสาวกว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นเพื่อนเขา อะลีคนนี้ก็เป็นเพื่อนของเขาด้วย?!! เพียงแค่นั้นจริงๆเหรอ?!!

เหตุผลที่แปด:เหตุการณ์ในวันนั้นตามนักรายงานและนักตัฟซีรทั้งชีอะห์และซุนนีย์ รายงานตรงกันว่า “บุคคลแรกที่ออกมาแสดงความยินดีแก่ท่านอลีหลังจากที่ท่านนบีได้กล่าวคุฏบะฮในวันนั้นเสร็จคือท่านอุมัร หลังจากที่ท่านนบีประการแต่งตั้งอะลีเสร็จเขาลุกขึ้นมาและได้จับไปที่มือของอลีและกล่าวขึ้นว่า:

« بخٍ بخٍ بک یا بن ابی طالب; أصبحت مولای و مولی کل مومن و مومنه»

“ขอแสดงความยินดี โอ้อลี บุตรของอบีฏอลิบ ท่านคือนายของเราและเป็นหัวหน้าของผู้ศรัทธาทุกคนทั้งชายและหญิง” จากนั้นทุกคนก็ออกมาแสดงความปิติยินดีกับอะลีและยอมรับในสิ่งนั้นอย่างไม่ขาดสาย ดังนั้นหากว่าคำว่า مولا ที่ท่านนบีบอกหมายถึงว่า เพื่อน ตามที่อ้างกัน การบัยอัตยอมจำนนและการแสดงออกซึ่งความปิติยินดีของมุสลิมทั้งหมดในวันนั้นมันมีความจำเป็นอะไรถึงขนาดนั้น?!!

เหตุผลที่เก้า: ช่วงท้ายของคุฏบะฮท่านนบีได้กล่าวประโยคหนึ่งที่เน้นย้ำแก่สาวกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า:

« فلیبلّغ الشاهد الغایب »

“จงเอาเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปบอกกล่าวแก่ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ให้ได้รับทราบทั่วกันด้วย” ท่านนบีต้องการให้เรื่องสำคัญของการแต่งตั้งอะลีเป็นผู้สืบทอดสำหรับผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นให้ได้รับทราบท่านเลยสั่งกำชับแก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ในวันนั้นให้นำสาสน์นี้ไปเผยแพร่แก่พวกเขา คำถามตามมาคือ ท่านต้องการให้คนที่ไม่อยู่เหตุการณ์ได้รับรู้ว่าท่านอลีเป็นแค่เพื่อนของท่านเท่านั้นเหรอ?!!

เหตุผลที่สิบ:หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปแต่ในช่วงท้ายมีประโยคหนึ่งซึ่งนบีได้กล่าวว่า:

« هنّئونی، هنّئونی »

“ขอจงกล่าวแสดงความปิติยินดี(การการแห่งฆอดีร)แก่ฉันเถิด”

คำถามคือ นบีสั่งให้สาวกที่อยู่ในเหตุการณ์กล่าวแสดงความปิติยินดีให้แก่ท่านเพื่อที่จะบอกว่า อลีคือเพื่อนของท่านแค่นั้นเหรอ!!?

ฉะนั้นข้อเท็จจริงในเรื่องนี้คงจะหลีกหนีความจริงไปไม่พ้นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องราวและเป็นคำสั่งโดยตรงที่มาจากพระองค์เพื่อให้นบีประกาศสิ่งสำคัญในการเป็นผู้นำของท่านอลีต่อจากท่านนบี ที่สำคัญศาสนาอิสลามจะสมบูรณ์แบบได้ก็เพราะสิ่งนั้นมิเช่นนั้นมนุษย์ชาติจะตกอยู่ในภาวะไร้ผู้นำ และศาสนาจะสมบูรณ์ไม่ได้อยู่ที่ว่าท่านอลีคือเพื่อนของท่านนบีแต่จะสมบูรณ์ได้คือ ใครที่จะเป็นนายหรือผู้สืบทอดกิจการภายหลังจากท่านนบีต่างหาก ดังนั้นเหตุการณ์นี้เป็นที่ประจักได้เลยว่า อะลีคือผู้สืบทอดเพียงผู้เดียวเท่านั้นภายหลังจากท่าน..

18ซุลอิญะฮ วันแห่งการแต่งตั้งและ อลี อิบนิ อบีฏอลิบ เป็นผู้สืบทอดเหนือประชาชาติ ขอแสดงความปิติมายังพี่น้องผู้ศรัทธาทุกท่าน…

ขอบคุณบทความจากเชคยูซุฟ