คาราวานกองหนึ่งซึ่งกำลังมุ่งไปยังเมืองมักกะฮ์ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองมะดีนะฮ์จึงหยุดพัก ต่อมาไม่นานจึงออกเดินทางมุ่งสู่จุดหมายปลายทางคือเมืองมักกะฮ์ บนเส้นทางระหว่างเมืองมะดีนะฮ์ กับ เมืองมักกะฮ์ กองคาราวานได้พบกับชายคนหนึ่งซึ่งรู้จักกันในบ้านหลังหนึ่ง ในขณะที่พูดจาทักทายกันอยู่นั้น ชายผู้นี้เหลือบไปเห็นบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเขาบุคคลผู้นี้มีใบหน้าแสดงออกถึงความเป็นผู้ศรัทธาที่สูงส่ง มีความยำเกรง สำแดงให้เห็นว่ากำ ลังขะมักเขม้นกระวีกระวาดอยู่กับการงานต่างๆที่กองคาราวานมีความจำเป็น ในบัดนั้นเองเขาก็รู้จักบุคคลผู้นั้นทันที เขาจึงถามผู้ที่อยู่ในกองคาราวานอย่างประหลาดใจว่า “ผู้ที่กำลังทำงานอย่างแข็งขันอยู่นั้น พวกท่านรู้จักเขาหรือไม่“ พวกเขาตอบว่า “ไม่ ! เราไม่รู้จักเขาเลย เขาเข้ามาร่วมเดินทางกับเราในเมืองมะดีนะฮ์ แต่ดูจากลักษณะแล้ว เขาเป็นผู้ที่มีความยำเกรงต่อพระเจ้าและมีศรัทธาสูงยิ่ง เรามิได้ขอร้องให้เขามาทำงานต่างๆ ให้แก่เรา แต่เขามีความสมัครใจที่จะร่วมทำงานและช่วยเหลือผู้อื่น ถ้าอย่างนั้นพวกท่านก็ไม่รู้จักเขาจริงๆ ถ้าหากพวกท่านรู้จักเขาแล้ว พวกท่านคงไม่เสียมารยาทแบบนี้ และปล่อยให้เขาทำงานเยี่ยงคนรับใช้ในกองคาราวานของพวกท่านดอก”
พวกเขาแปลกใจจึงถามว่า “แล้วเขาคือใครกันละ”
ชายผู้นั้นตอบว่า “เขาคือ อะลี บุตรของ ฮูเซน (อิมามซัยนุลอาบิดีน อิมามท่านที่สี่)”
ทุกคนในกองคาราวานจึงลุกขึ้นยืนกันอย่างโกลาหล และขออภัยท่าน ด้วยการเข้าไปจูบมือเท้าของท่านอิมาม ขณะเดียวกันพวกเขาก็พูดในเชิงตำหนิตัวเองขึ้นว่า
“นี่มันอะไรกัน ทำไมท่านจึงทำกับพวกเราแบบนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้า อย่าให้เป็นเช่นนั้น มาตรว่าเราได้กระทำในสิ่งที่มิบังควรต่อท่าน เราจะถูกตราหน้าว่า คือผู้กระทำผิดบาปอันใหญ่หลวงทีเดียว
อิมามกล่าวว่า “ฉันเป็นผู้เลือกที่จะร่วมเดินทางกับพวกท่าน ด้วยรู้ดีว่าพวกท่านไม่รู้จักฉัน เพราะบางครั้งที่ฉันเดินทางร่วมกับบุคคลที่รู้จักฉันดี พวกเขาจะปฏิบัติต่อฉันอย่างอ่อนน้อมและเห็นอกเห็นใจ เนื่องจากฉันคือผู้มาจากครอบครัวของท่านศาสดา และพวกเขาจะไม่ปล่อยให้ฉันมีหน้าที่อันใดเลย ในการรับใช้หรือปฏิบัติภารกิจการงาน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงต้องเลือกผู้ร่วมเดินทางที่ไม่รู้จักฉัน และจะไม่แนะนำตัวให้พวกเขารู้จักด้วย เพื่อที่ฉันจะได้รับใช้ และทำงานอย่างสะดวกสบาย”