ฮะดีบทนี้มีความต่อเนื่องทางด้านสายรายงานอย่างชัดเจน ชนิดที่ว่าฮะดีษน้อยรายนักที่จะมีสายรายงานเช่นนี้ศ่อฮาบะฮฺ ๑๑๐ คน ที่อยู่ในเฆาะดีรคุม ได้รายงานฮะดีษบทนี้โดยตรงจากท่านศาสดา (ศ) และมีตาบิอีนบุคคลที่พบกับศอฮาบะฮฺของท่านนบี(ศ) ๘๔ คน ที่รายงานฮะดีษบทนี้
นักปราชญ์ผู้ปราดเปรื่องของพี่น้องอะฮฺลิซซุนนะฮฺ ทั้งที่เป็นนักประวัติศาสตร์ นักอรรถธิบายอัล- กุรอาน (มุฟัซซิร) และด้านอื่นๆ ได้พูดถึงเหตุการณ์ที่เฆาะดีรคุมในตำรับตำราของพวกเขาด้วยหลักฐานอันมากมายในหนังสือ “อัล ฆอดีร” (ของท่านอัลลามะฮฺอามินี) ได้กล่าวรายชื่อของพวกเขาไว้ว่ามีจำนวนถึง ๓๕๐คน
ยังมีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของอิสลามอีกจำนวนหนึ่งประมาณ ๒๖ คนที่ได้เขียนถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้เป็นหนังสือโดยตรงอีกเล่มหนึ่งต่างหาก
นักจัดทำพจนานุกรรมเมื่ออ้างถึงคำว่า อัล เฆาะดีร หรือเมาลา พวกเขาจะกล่าวถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ด้วย
ใช่แล้ว ไม่มีความสงสัยและการปฏิเสธอันใดแม้เพียงเล็กน้อยต่อความถูกต้องชัดเจน ของสายสืบฮะดีษ
อัลเฆาะดีร นอกเสียจากบุคคลที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด ความร้อนของมันกระทบกับผิวหนังของเขา แต่เขาบอกว่าไม่มีแสงสว่างและความร้อนอันใดเลย
การตรวจสอบเล็กน้อยต่อความหมายของฮะดีษอัล –เ ฆาะดีร
ด้วยกับหลักฐานที่แสดงอยู่ในตัวบท และนอกตัวบทของฮะดีษนี้ กระจ่างชัดถึงขนาดทีว่า คนที่มีความเที่ยงธรรมจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่า ท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี (อ) คือ ตัวแทนคนแรกของท่านศาสดา (ศ)
ต่อไปนี้เราจะได้อธิบายทำความกระจ่างต่อหลักฐานบางประการที่มีอยู่ในฮะดีษบทนี้ :
๑ -คำว่าเมาลาที่พบในฮะดีษนี้ คือ คำที่มีความหมายกระจ่างชัดที่สุดที่ถูกใช้ในสภาพการณ์เช่นนี้ เมาลาให้ความหมายถึง บุคคลที่มีฐานภาพการนำ การได้รับความจงรักภักดี
การให้ความเห็นและการออกคำสั่ง ความต้องการของเขาผู้นี้ย่อมอยู่เหนือความต้องการของบุคคลอื่น ด้วยเหตุนี้เองท่านศาสดา(ศ) ก่อนที่จะกล่าวประโยค มันกุนตุเมาลา…
ท่าน (ศ) พูด ในเชิงคำถามว่า อัยยุฮันนาซมันเอาลันนาซ
ความหมายของการเป็นผู้เหนือกว่า(เอาลา) ก็คือความประสงค์ของท่าน(ศ) นั้นต้องมาก่อนความประสงค์ของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าท่าน (ศ )จะพูด และปฏิบัติสิ่งใด สำหรับประชาชนแล้วถือเป็น ข้อพิสูจน์และหลักฐานอันแจ้งชัด ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ ท่าน (ศ) มีฐานภาพของการได้รับการจงรักภักดี(วิลายะฮฺ) ถึงตอนนี้เราจะกล่าวว่า ประโยคก่อนหน้านี้พูดถึงการเป็นผู้เหนือกว่า(เอาละวียะฮฺ) และฐานภาพของการได้รับการจงรักภักดี(วิลายะฮฺ) ดังนั้นประโยคต่อมาก็จะต้องให้ความหมายเช่นเดียวกันนี้ด้วย เพื่อที่ความหมายของประโยคหน้า และประโยคหลังจะได้มีความสอดคล้องกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะได้ความหมายที่สมบูรณ์ที่ท่านศาสดา(ศ) ต้องการจะกล่าวก็คือ
*เมื่อเปรียบเทียบกับตัวของพวกท่านเองแล้ว ฉันมิได้มีความดีเด่นเหนือกว่าตัวของพวกท่านเองกระนั้นหรือ? ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านมีอย่างแน่นอน และแล้วท่าน(ศ) ก็พูดต่อเลยว่า ความดีเด่น ความเหมาะสม ความเหนือกว่าที่ฉันมีต่อตัวของพวกท่านนั้น อะลีก็มีคุณสมบัตินี้ด้วย หลังการจากไปของฉันแล้ว เขาก็คือเมาลาของมุสลิมทุกคน*
ในฮะดีษบทนี้มิได้มีเจตนาให้ความหมายของเมาลาเป็นอย่างอื่น นอกจากหมายถึง การเป็นผู้มีอำนาจเหนือกว่า มีฐานภาพของการเป็นผู้นำ และจะต้องได้รับการมอบความจงรักภักดี ความหมายอื่นในที่นี้ ย่อมหาได้ มีความเหมาะสมไม่มีประเด็นที่น่าสนใจอีกก็คือ :
๒ –ท่านศาสดาแห่งอิสลาม (ศ) ได้กักผู้คนเอาไว้ในสถานที่หนึ่งภายใต้ความร้อนระอุของแสงแดด ความเป็นจริงในเรื่องนี้ได้ทำให้แง่มุมทางประวัติศาสตร์ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า สถานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นแล้ว
คงไม่มีผู้มีปัญญาคนใดจะยอมรับได้ว่า ท่านศาสดา(ศ) กักผู้คนเอาไว้ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวเพียงเพื่อจะเตือนให้ผู้คนรับรู้เพียงเรื่องปลีกย่อย เช่น อะลีเป็นเพื่อนของฉัน (ดังที่มีอุละมาอ์บางคนพยายามที่จะกล่าวเช่นนั้น ถึงแม้จะฝืนกับความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์ และการยอมรับของสติปัญญาเองก็ตาม)
๓ -ท่านศาสดา(ศ) กล่าวในประโยคต่อไปว่า “โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรดช่วยเหลือผู้ที่ได้ช่วยเหลืออะลี โปรดผลักไสให้ออกจากความโปรดปรานของพระองค์ สำหรับผู้ที่ยับยั้งการช่วยเหลือแก่อะลี…” ท่านศาสดา(ศ) รู้ดีว่า หลังการจากไปของท่าน ท่านอะลี(อฺ) จะต้องมีกองกำลังทหาร และประชาชนจะต้องให้ความร่วมือแก่เขาเพื่อฝังรากอิสลามให้ลึกยิ่งขึ้น ก็พราะว่า รัฐบาลอิสลามต้องการผู้นำที่มีความบริสุทธิ์ยุติธรรม และได้รับการยอมรับ อีกทั้งจำเป็นที่ประชาชนจะตอ้งเชื่อฟังตัวแทนของท่านศาสดา(ศ) ด้วยเหตุนี้เองท่าน(ศ) จึงได้ขอดุอาให้กับผู้ที่มีส่วนในการให้ความช่วยเหลือแก่ท่านอะลี(อฺ) และสาปแช่งผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับเขา จากวิธีการอันนี้เองที่ท่าน(ศ) ต้องการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนว่า การเป็นปฏิปักษ์และขัดแย้งกับท่านอะลี(อฺ) เป็นเหตุให้อัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทรงกริ้ว และท่านศาสดา(ศ) สาปแช่ง
๔ -ในตอนเริ่มคุฎบะฮฺ ท่านศาสดา (ศ) กล่าวว่า “พวกท่านไม่ได้ยืนยันต่อความเป็นเอกะของอัลลอฮ์ (ซ.บ.) และสาส์น ของบ่าวของพระองค์ มุฮัมมัดดอกหรือ?” ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราขอยืนยันตามนั้น”
แล้วท่าน (ศ) ก็ได้กล่าวถึงบุคคลที่จะเป็นเมาลาของพวกเขา โดยกล่าวว่า “ใครก็ตามที่ฉันเป็นเมาลาของเขา อะลีก็เป็นเมาลาของเขาด้วย” แน่นอนเหลือเกินว่า จุดมุ่งหมายของการเป็นผู้ที่มีอำนาจได้รับการจงรักภักดี (วิลายะฮฺ) ของท่านอะลี(อฺ) ถูกกล่าวหลังจากการกล่าวปฏิญาณตนต่ออัลลอฮ์(ซ.บ.) ต่อสาส์นของพระองค์ และวิลยะฮ์ของท่านศาสดา(ศ)แล้ว ก็คือ ฐานภาพของการเป็นอิมาม (ผู้นำ) นั่นเอง เพราะว่าถ้านอกจากการให้ความหมายเช่นนี้ประโยคที่กล่าวมาจะไม่มีความต่อเนื่องกันเลย ทั้ง ๆ ที่เราก็รู้อยู่เต็มอกว่าท่านศาสดา (ศ) คือ ผู้ที่มีโวหารที่ดีที่สุด
๕ -หลังจากพิธีได้สิ้นสุดลง และประชาชนทุกคนได้เข้ามาร่วมแสดงความยินดีต่อท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน(อฺ) เป็นที่กระจ่างชัดว่าการแสดงความยินดีจะถูกต้องก็ต่อเมื่อ ในวันนั้น ท่านอะลี(อฺ) ได้รับตำแหน่งอันสูงส่งจากอัลลอฮ์และรอซูลของพระองค์ ถ้านอกจากนี้แล้ว การร่วมแสดงความยินดีก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
๖ -โองการที่ว่า :“โอ้รอซูล จงประกาศสิ่งที่ได้ถูกประทานลงมาให้แก่เจ้าจากองค์พระผู้อภิบาลของเจ้า หากเจ้าไม่กระทำตามนั้น เท่ากับว่าเจ้าไม่เคยประกาศสาส์นของพระองค์มาเลย อัลลอฮ์ทรงเป็นผู้ที่ปกป้องเจ้าจากมวลมนุษย์” (บทอัล มาอิดะฮฺ: ๖๗)
ตามการยืนยันของบรรดาอุละมาอ์อะฮ์ลิซซุนนะฮฺ ถูกประทานลงมาในวันเฆาะดีร ในเรื่องการเป็นตัวแทนของท่านอะลี(อ) เพื่อเป็นตัวอย่าง เราขอนำคำพูดของนักอรรถาธิบายอัล – กุรอาน (มุฟัซซิร) และนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของพี่น้องอะฮฺลิซซุนนะฮฺ คือท่านอะบูญะอฺฟัร มุฮัมมัด บิน ญะรีร ฎอบะรีย์(ร.ฮ.) ที่กล่าวว่า :หลังจากที่อายะฮ์นี้ถูกประทานลงมาในเฆาะดีรคุมท่านศาสดา(ศ) กล่าวว่า “ญิบรออีลได้รับคำสั่งมาจากอัลลอฮ์(ซ.บ.) ว่าให้ฉันหยุดยืนอยู่ ณ ที่นี่แล้วประกาศไปยังทุกคนไม่ว่าผิวขาว หรือผิวดำ ว่า อะลี บินอะบีฎอลิบ คือน้องชายของฉัน ทายาท(วะศี) ของฉัน ตัวแทนของฉันและเป็นอิมามภายหลังจากฉัน…
๗ -บทกวีและบทกลอนที่มีค่าอันสูงส่ง ซึ่งนักกลอนทุกคนนับตั้งแต่สมัยนั้นจนกระทั่งทุกวันนี้ ที่ได้แต่งขึ้นเกี่ยวกับเรื่องของอัล – เฆาะดีร และตัวแทนของท่านศาสดา (ศ) คือ ท่านอะลี (อ) โดยพิจารณาฉันทลักษณ์อันลึกซึ้งแล้ว ถือว่าเป็นหลักฐานที่ชัดเจนอย่างยิ่งเกี่ยวกับปัญหานี้ เพราะทั้งหมดต่างก็อ้างถึง คุฎบะฮฺอัล- เฆาะดีร ว่า เกี่ยวพันกับการเป็นอิมาม และเป็นผู้มีอำนาจได้รับการจงรักภักดีอย่างแน่นอน
บทกวีและบทกลอนรวมทั้งชื่อของพวกเขาถูกกล่าวและบันทึกอยู่ในหนังสือ “อัล –เฆาะดีร” ซึ่งพวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ช่ำชองในเรื่องกวี และบทกลอนทั้งนั้น ในหนังสือเล่มดังกล่าวได้ยกบทกลอนพร้อมทั้งผู้แต่งกลอนหรือบทกวี นั้นซึ่งพวกเขาได้แต่งเกี่ยวกับ อัล –เฆาะดีร นับตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑ แห่งฮิจญ์เราะฮฺศักราชเรื่อยมา ทั้งยังมีการตรวจสอบความถูกต้องอีกด้วย
๘ –ท่านศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของเรา (ศ) และบรรดาอิมามผู้ทรงเกียรติของเรา(อฺ) ได้ประกาศให้วันที่ ๑๗ ซุลฮิจญะฮฺ เป็นวันอีด (วันรื่นเริง) อย่างเป็นทางการของมวลมุสลิม เพื่อทีจะให้เรื่องราวของเหตุการณ์เฆาะดีรคุมถูกกล่าวขานอยู่เสมอในทุก ๆ ปี ไม่ได้ถูกลืมเลือนไป ดังที่ท่าน อะบูร็อยฮาน บีรูนี นักปราชญ์ชาวอิหร่าน (อยู่ในช่วงศตวรรษที่ ๕ แห่ง ฮ.ศ.) กล่าวในหนังสือ “อาษารุ้ลบากิยะฮฺ” และท่านอิบนุฏอลฮะฮฺ อัล– วาฟิอี กล่าวใน หนังสือ “มะฎอลิบุซซุอูล” โดยท่านทั้งสองบอกว่าวันแห่งอัล – เฆาะดีรถือเป็นวันอีดหนึ่งของอิสลาม ท่านอะบูมันศูร ษะอาละบี นักนิรุกติศาสตร์ และนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งก็ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ษะมารุ้ลกุลูบ” ว่า ค่ำอัล – เฆาะดีร คือ ค่ำอันยิ่งใหญ่หนึ่งของอิสลาม
๙ -เมื่อท่านอะมีรุ้ลมุอ์มินีน อะลี(อฺ) และบรรดาอิมาม(อฺ) ใช้เหตุการณ์อัล-เฆาะดีร เป็นหลักฐานและเป็นข้อโต้แย้งต่อหน้าผู้ปฏิเสธท่านเหล่านั้น ไม่มีใครเลยแม้สักคนเดียวที่กล้าปฏิเสธความหมายดังกล่าวและความเกี่ยวพันกันระหว่างเรื่องนี้กับฐานภาพการเป็นอิมามและตัวแทนของ ท่านศาสดา (ศ) ทุกคนต่างให้การยอมรับทั้งสิ้น วันหนึ่งท่านอิมามอะลี (อ) กล่าวในคุฎบะฮ์ที่เมืองกูฟะฮ์ว่า
“ฉันขอปฏิญาณต่อพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่าน ใครที่อยู่ในเหตุการณ์อัล – เฆาะดีร และได้ยินคำสั่งแต่งตั้งของท่านศาสดา (ศ) ที่ให้ฉันเป็นผู้นำ (อิมาม) ขอให้ลุกขึ้นยืนเฉพาะผู้ที่ได้ยินคำสั่งนั้นกับหูของตัวเอง ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินจากอีกบุคคลหนึ่งโดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ ณ ที่นั้น”
มีคนกลุ่มหนึ่งได้ยืนขึ้น ท่านอะฮฺมัด บิน ฮัมบัล (อิมามมัซฮับฮัมบะลี) กล่าวว่า “พวกที่ลุกขึ้นยืนในวันนั้นมีประมาณ ๓๐ คนและยืนยันการได้ยินฮะดีษอัล เฆาะดีร” จะต้องไม่ลืมด้วยว่า ในเวลานั้นห่างจากเหตุการณ์อัล-เฆาะดีรถึง ๒๕ ปี ศ่อฮาบะฮฺบางคนของท่านศาสดา(ศ) ไม่ได้อยู่ ณ ที่นั้นและบางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว อีกทั้งบางคนก็มีเหตุผลบางอย่าง และไม่ได้ให้คำยืนยันนามนั้น ?
นายแห่งบรรดาเสรีชน ท่านอิมามฮุเซน (อ) กล่าวสุนทรพจน์ในนครมักกะฮฺ ท่ามกลางบรรดาศ่อฮาบะฮฺผู้เต็มเปี่ยมด้วยตักวา และตาบิอีนจำนวน ๗๐๐ ท่าน ความว่า
“…ขอสาบานต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน พวกท่านทราบใช่ไหมว่าท่านศาสดา (ศ) ได้แต่งตั้งท่านอะลี (อ) ให้ดำรงตำแหน่งค่อลีฟะฮ์และมีอำนาจเต็มในการได้รับการจงรักภักดี โดยท่าน (ศ) กล่าวว่า พวกที่อยู่ ณที่นี่ จงบอกข่าวนี้ไปยังผู้ที่ไม่ได้อยู่ด้วย?” พวกที่ร่วมชุมนุมอยู่ที่นั่นกล่าวขึ้นว่า“อัลลอฮ์ทรงเป็นพยาน มันเป็นอย่างนั้นจริง…”