หากมองเหตุการณ์ในปัจจุบัน รากฐานหลักประการหนึ่ง ในหลักคำสอนและหลักความเชื่อของวะฮาบีนั้นคือการสั่งห้าม การซิยารัต (เยี่ยมเยือนสุสาน) ท่านศาสดาและบรรดาอะอิมมะฮฺ(อ.) ทั้งนี้หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีต ก็จะประจักษ์ว่า เรื่องและประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เป็นประเด็นใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในสังคมอิสลาม แต่ทว่า หลักความเชื่อที่ผิดเพี้ยนและหลงทางจากศาสนาอิสลามอันบริสุทธิ์นั้น มันได้เกิดขึ้นมาตลอดหน้าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย ซึ่งจะขอนำเสนอเหตุการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นในอดีตโดยสังเขปดังนี้
- ยุคสมัยของมุอาวิยะฮฺ บิน อะบูซุฟยาน เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.60
มีการพบปะระหว่างมุฆอยรอฮฺ บิน ชุอฺบะฮฺ กับมุอาวิยะฮฺ ครั้งนั้นมุฆอยรอฮฺได้กล่าวว่า “บะนีฮาชิมได้หมดอำนาจลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง จึงควรที่ตนกับมุอาวิยะฮฺจะได้ร่วมกันสร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่านี้ และเป็นการดีอย่างยิ่ง หากทำการประนีประนอมและเอื้ออาทรต่อพวกเขา มุอาวิยะฮฺบอกว่า แม้แต่อะบูบักรฺ อุมัรฺและอุศมานก็เคยขึ้นมาเป็นคอลีฟะฮฺและก็ได้จากไปแล้วเหลือเพียงแต่ชื่อที่ปรากฏอยู่เท่านั้นเอง แต่สิ่งที่มุอาวิยะฮฺทุกข์ร้อนใจเป็นอย่างยิ่งคือเสียง อะซานในทุกๆ วัน ตอนหนึ่งว่า
أشهد أن محمدا رسول اللّه “ข้าขอปฏิญาณตนว่ามุฮัมมัด คือ ศาสนทูตของพระองค์”
ซึ่งการเรียกร้องเชิญชวนให้นมาซโดยมีชื่อมุฮัมมัด บุตรของอับดุลลอฮฺไปแนบข้างกับพระนามของพระองค์เป็นสิ่งที่ตนยอมรับไม่ได้ ฉันขอสาบานว่า ตราบใดที่ชื่อนี้ยังคงถูกประกาศในทุกๆวัน ตราบนั้นฉันก็จะไม่มีวันนิ่งเฉยเป็นอันขาด
มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อมุอาวียะฮฺ ได้ยินเสียงมุอัซซินกล่าวอะซาน และได้ปฏิญาณตนว่า มุฮัมมัดคือ ศาสนทูตของพระองค์ ก็ได้ประท้วงโดยเอ่ยพูด ว่า
للّه أبوک یا ابن عبد اللّه ، لقد کنت عالی الهمة ، ما رضیت لنفسک إلا أن یقرن إسمک باسم ربّ العالمین
ขอสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺ โอ้บุตรของอับดุลลอฮฺ เจ้ามีความตั้งมั่นและมีความปรารถนาอย่างแรงกล้ายิ่ง ฉันไม่มีวันพึงพอใจอย่างเด็ดขาดที่ได้เอาชื่อของท่านมาแนบข้างกับพระนามของพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล
ด้วยเหตุนี้มุฮัมมัด รอชีด ริฎอ อุลามาอฺท่านหนึ่งของพี่น้องอะฮฺลิสซุนนะฮฺ กล่าวว่า
“นักวิชาการชาวตะวันตกท่านหนึ่งบอกว่าจะเป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะสร้างอนุสาวรีย์มุอาวิยะฮฺด้วยทองคำแล้ววางไว้ที่ใจกลางเมืองหลวง ได้มีการถามถึงเหตุผลในคำพูดดังกล่าว และได้รับคำตอบว่า เพราะมุอาวิยะฮฺคือคนแรกที่เปลี่ยนแปลงการปกครองแบบรัฐอิสลามไปเป็นระบอบเผด็จการและสืบทอด รัชทายาท หากมุอาวิยะฮฺไม่ได้กระทำเรื่องเหล่านี้เอาไว้อิสลามก็จะถูกเผยแพร่อย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคพื้นยุโรป”
- มัรฺวาน บิน ฮะกัม เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.61
ฮากิม เนชาบูรี และอะฮฺมัด บินฮัมบัล ได้บันทึกและรายงานว่า
มัรวานได้เห็นอะบู อัยยูบ อันศอรี ศอฮาบะฮฺท่านศาสดา (ศ็อลฯ) นั่งอยู่ในสุสานท่านศาสดา (ศ็อลฯ)กำลังพิลาปรำพันอย่างโศกาดูรต่อการจากไปของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มัรวานได้เข้าจับคอ แล้วถาม อะบู อัยยูบ ว่า เจ้ากำลังทำอะไรอยู่???
ท่านอะบูอัยยูบ ตอบว่า
جئت رسول اللّه [ صلىاللهعلیهوآله ] ولم آت الحجر، سمعت رسول اللّه [ صلىاللهعلیهوآله ] یقول: لا تبکوا على الدین إذا ولیه أهله، ولکن ابکوا علیه إذا ولیه غیر أهله
“เรามาซิยารัตสุสานของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) หาใช่มาเยี่ยมเยือนดินหรือก้อนอิฐก้อนหิน เราจำได้มั่นว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) เคยบอกเราว่า ท่านไม่ห่วงกังวลต่อรัฐอิสลามหากว่ามีผู้ปกครองที่มีความชอบธรรมและยุติธรรมเป็นผู้ปกครอง แต่ท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าวันหนึ่งจะมีผู้ปกครองที่อธรรม เช่น มัรวาน มีอำนาจปกครอง”
- ฮัญญาจฺ บิน ยูซุฟ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ 95
อิบนู อะบี ฮะดิด มุอฺตาซาลี ชาฟีอี เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ.655 ได้รายงานว่า
ครั้งที่ฮัญญาจฺ บิน ยูซุฟ มาเยือนมะดีนะฮฺ เห็นประชาชนกำลังฏอวาฟสุสานของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) จึงเอ่ยว่า
تبّا لهم! إنّما یطوفون بأعواد ورمة بالیة ، هَلاّ طافوا بقصر أمیر الموءمنین عبدالملک؟ ألا یعلمون أنّ خلیفة المرء خیر من رسوله؟
“ความพินาศจงประสพแก่บุคคลเหล่านี้ แล้วจะมีประโยชน์อันใดกับการฏอวาฟต่อเศษกระดูกของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ทำไม ไม่ไปฏอวาฟอับดุลมาลิกที่ทำเนียบแทน เพราะอับดุลมาลิกเป็นคอลีฟะฮฺเป็นตัวแทนของอัลลอฮฺ มีความยิ่งใหญ่ประเสริฐกว่าท่านศาสดา (ศ็อลฯ) มากมายนัก”
มุบัรรัด หนึ่งในปรมาจารย์ด้านหลักภาษาอาหรับ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ.286
กล่าวว่า “ด้วยเหตุนี้บรรดานักปราชญ์ (ฟุกอฮา) จึงถือว่าฮัญญาจฺเป็นผู้ปฏิเสธ (กาเฟรฺ) เพราะคำพูดของเขาที่กล่าวให้ร้าย ขณะที่พี่น้องประชาชนกำลังฏอวาฟสุสานของท่านศาสดา(ศ็อลฯ) ”
- บัรบะฮารี เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.329
ฮะซัน บิน อะลีบัรบาฮารี อุลลามาอฺของมัศฮับฮัมบาลี เป็นคนแรกที่สั่งห้ามการซียารัตสุสานท่านศาสดา (ศ็อลฯ) และอะฮฺลิลบัยตฺ (อ.) และห้ามอ่านมัรซียะฮฺ ให้ท่านอิมามฮุเซน (อ.) ทั้งได้ออกคำสั่งให้ประหารผู้อ่านมัรซียะฮฺด้วย
- อิบนุ บัฏฏ็อฮฺ เสียชีวิตปี ฮ.ศ 387
อุบัยดิลลาฮฺ บิน มุฮัมมัด บิน ฮัมดาน อักบารี หรืออีกชื่อหนึ่งว่า อิบนูบัฏฏ็อฮฺ เป็นหนึ่งในนักนิติศาสตร์ของฮัมบาลี โดยอ้างอิงจากคำพูดของอิบนุ ตัยมียะฮฺ ที่ได้ปฏิเสธการซียารัต การชะฟาอะฮฺจากท่านศาสดา(ศ็อลฯ) และเชื่อว่า การเดินทางไปซียารัตสุสานท่านศาสดา (ศ็อลฯ) นั้นเป็นความผิด (มุอฺซิยัต) ตามหลักการอิสลาม ไม่สามารถทำการนมาซเดินทางได้ (นมาซย่อ)
- อิบนุ ตัยมียะฮฺ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.729
ตะกียุดดีด อะฮฺมัด บิน อับดุลฮะลีม บิน ตัยมียะฮฺ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ.729 เป็นผู้สถาปนาความคิดวะฮาบีแห่งศตวรรษที่ 8 มีทัศนะความคิดเช่นเดียวกับอิบนุบัฏฏอฮฺ ต่างกันเพียงแค่รูปประโยคและเทคนิคใหม่ๆเท่านั้น ทัศนะนี้นำมาซึ่งความแตกแยกอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชาติอิสลาม
- มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เสียชีวิต ปี ฮ.ศ.1205
มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบ เสียชีวิตเมื่อปี ฮ.ศ.1205 ผู้สถาปนาและผู้นำวะฮาบีในศตวรรษที่ 12 ได้ร่วมมือกับมุฮัมมัด บิน ซาอูด ปู่ทวดของฟะฮัด ทำตัวเป็นสมุนรับใช้จักรวรรดิอังกฤษ ได้เผยแพร่ความคิดของอิบนุ ตัยมียะฮฺในรูปลักษณะที่ง่ายต่อความเข้าใจ ในเขตพื้นที่นัจดฺและดีรอียะฮฺประเทศซาอุดิอาระเบีย
ที่มา หนังสือ “ถลกหนังวะฮาบี”