มีรายงานว่าค่อลีฟะฮฺมะอ์มูนนั้น หลังจากที่ทำพิธีแต่งงานบุตรสาวของตน คือ อุมมุลฟัฏลฺ เสร็จแล้วก็นั่งอยู่ในที่ประชุม โดยมีท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ) ยะฮฺยา บินอักษัมและบรรดานักปราชญ์จำนวนมากกลุ่มหนึ่ง
ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวกับท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ว่า “โอ้บุตรของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ ท่านจะมีคำพูดอย่างไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องราวที่บอกเล่ากันมาว่า ครั้งหนึ่งมะลาอิกะฮฺญิบรออีล(อฺ)ได้เสด็จลงมาหาท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)แล้ว กล่าวว่า “โอ้มุฮัมมัด แท้จริงอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ฝากสลามมายังท่าน แล้วฝากคำพูดมายังท่านด้วยว่าโปรดถาม ‘อะบูบักร’ด้วยเถิดว่าเขาพอใจกับฉันหรือไม่ เพราะแท้จริงแล้วฉันเป็นผู้พอใจต่อเขา?”
ท่านอะบูญะอฺฟัร(อฺ)ได้กล่าวว่า “ฉันมิได้ปฏิเสธในเกียรติยศของ ‘อะบูบักร’ แต่สำหรับเจ้าของเรื่องเล่าอันนี้จำเป็นจะต้อง ขอหยิบยกตัวอย่างรายงานฮะดีษที่ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)กล่าวไว้ในเทศกาลฮัจญ์อำลาเพื่อเป็นอุทาหรณ์ที่ว่า “แน่นอนที่สุดได้มีคนกล่าวเท็จให้แก่ฉันมากมาย และหลังจากฉันไปแล้ว ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ดังนั้นผู้ใดที่กล่าวเท็จต่อฉันโดยเจตนา ก็ขอให้เตรียมที่นั่งสำหรับตนไว้ในไฟนรก ครั้นถ้า หากมีคำพูดของฉัน(ฮะดีษ) บทหนึ่งมายังพวกท่าน พวกท่านก็จงนำมันไปพิสูจน์กับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)และซุนนะฮฺของฉัน ถ้าคำพูดอันนั้นสอดคล้องกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และซุนนะฮฺของฉันก็ขอให้พวกท่านยึดถือไว้ แต่ถ้าหากคำพูดนั้นขัดแย้งกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.) และซุนนะฮฺของฉัน พวกท่านก็จงอย่าได้ยึดถือมันเลย”
อีกทั้งคำบอกเล่าในเรื่องนี้มิได้สอดคล้องกับพระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ดังที่พระองค์ทรงมีโองการไว้ว่า“และแน่นอนที่สุด เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมา และเราล่วงรู้ในสิ่งที่กระซิบกระซาบอยู่ในใจของเขา และเราใกล้ชิดกับเขายิ่งกว่าเส้นเลือดฝอยที่คอหอย” (บทก็อฟ: ๑๖)
เป็นไปได้อย่างไรที่อัลลอฮฺ(ซ.บ. จะไม่รู้ว่า ‘อะบูบักร’ พอใจหรือไม่พอใจต่อพระองค์ จนถึงกับต้องถามเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับอันนั้น? เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้โดยสติปัญญา”
หลังจากนั้น ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวอีกว่า “มีรายงานบทหนึ่งว่า : อุปมาของอะบูบักรฺกับอุมัรในหน้าแผ่นดินนั้น มีฐานะเสมอเหมือนกับญิบรออีลและมีกาอีลในชั้นฟ้า”
ท่านอิมามญะวาด(อฺ) กล่าวว่า“นี่ก็อีกเช่นกันที่จำเป็นจะต้องพิจารณา เพราะว่าญิบรออีลและมีกาอีลนั้น เป็นมะลาอิกะฮฺผู้ใกล้ชิดสำหรับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) ทั้งสององค์จะไม่ละเมิดต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เลย และจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่ง แม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวแต่สำหรับคนทั้งสองนั้นเคยตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)มาก่อน ถึงแม้ว่าจะรับอิสลามภายหลังจากนั้นก็ตาม วันเวลาอันยาวนานของบุคคลทั้งสองคือช่วงเวลาแห่งการตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.) จึงเป็นไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบว่าคนทั้งสองเสมอเสมือนกับมะลาอิกะฮฺสององค์นั้น”
ยะฮฺยากล่าวอีกว่า“มีรายงานอีกบทหนึ่งระบุว่า : บุคคลทั้งสองเป็นประมุขสูงสุดของบรรดาคนชราสำหรับชาสวรรค์ ในข้อนี้ท่านจะว่าอย่างไร ?”
อิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่าบรรดาชาวสวรรค์นั้นล้วนเป็นคนหนุ่มทั้งหมด ในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีคนชราเลย รายงานเหล่านี้คือสิ่งที่พวกลูกหลานของอุมัยยะฮฺแต่งขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้เรื่องราวที่ตรงข้ามกับคำพูดของท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ) ที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องของท่านฮะซันและท่านฮุเซน(อฺ) ว่าบุคคลทั้งสองนั้นเป็นหัวหน้าของชายหนุ่มชาวสวรรค์”
ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวอีกว่า“มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า : แท้จริงท่านอุมัร บินค็อฏฏอบนั้นอยู่ในฐานะเป็นดวงประทีปสำหรับชาวสวรรค์”
ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า “นี่ก็คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะในสวนสวรรค์นั้นมีบรรดามะลาอิกะฮฺที่ใกล้ชิดกับอัลลอฮฺ(ซ.บ.) มีท่านนบีอาดัม ท่านนบีมุฮัมมัด และบรรดานบีตลอดทั้งบรรดาศาสนทูต ทั้งมวล สวนสวรรค์ไม่มีรัศมีสว่างไสวด้วยกับรัศมีของบุคคลเหล่านั้นเลย นอกเสียจากด้วยรัศมีของอุมัรเท่านั้นหรือ ?”
ยะฮฺยา ได้กล่าวอีกว่า “มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า : แท้จริงท่านหญิงซะกีนะฮฺมีวาทศิลป์เช่นเดียวกับวาทศิลป์ของอุมัร”
ท่านอิมามญะวาด(อฺ)กล่าวว่า “ฉันมิได้ปฏิเสธเกียรติยศของท่านอุมัร แต่ทว่าท่านอะบูบักรนั้นย่อมมีเกียรติเหนือกว่าท่านอุมัร แต่ท่านยังกล่าวไว้บนมินบัรในครั้งหนึ่งว่า“แท้จริงสำหรับตัวของข้าพเจ้านี้มีชัยฏอนที่คอยหลอกลวงข้าพเจ้าอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากข้าพเจ้าหันเหไป พวกท่านก็จงช่วยประคับประคองข้าพเจ้าด้วย”
ยะฮฺยาได้กล่าวอีกว่า “มีรายงานบทหนึ่งกล่าวว่า ท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า : ถ้าหากข้าพเจ้ามิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสดาแล้วไซร้แน่นอนอุมัรนั่นแหละคือผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้ง”
ท่านอิมามญะวาด(อฺ) กล่าวว่า “พระคัมภีร์ของอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ย่อมมีความสัจจริงยิ่งกว่าฮะดีษบทนี้ อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ในคัมภีร์ของพระองค์ว่า : “และในเมื่อเราได้ทำสัญญาต่อบรรดานบีและทำสัญญากับเจ้า อีกทั้งกับนูฮฺ……” (อัล-อะฮฺซาบ: ๗)
แน่นอนจะเห็นได้ว่าอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีพันธสัญญากับบรรดานบีจะเป็นไปได้อย่างที่พระองค์จะเปลี่ยนพันธสัญญาอันนี้ นั่นคือบรรดานบีทั้งหมดไม่เคยตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)เลย
อย่างแน่นอน จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระองค์จะแต่งตั้งผู้ที่เคยตั้งภาคีมาเป็นนบี ในเมื่อท่านอุมัรนั้นตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
ท่านเป็นผู้ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)? และท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)นั้นได้เคยกล่าวไว้ว่า :“ฉันถูกแต่งตั้งให้เป็นนบีในขณะที่อาดัมยังอยู่ในสภาวะระหว่างวิญญาณและเรือนร่าง”
ยะฮฺยา บินอักษัม ได้กล่าวว่า “มีรายงานอีกบทหนึ่งกล่าวว่า : แท้จริงท่านนบีมุฮัมมัด(ศ)ได้กล่าวว่า “ยามใดที่วะฮฺยูมิได้ถูกประทานลงมายังฉัน ทำให้ฉันนึกเสมอว่า มันได้ถูกประทานลงมายังอิบนุค็อฏฏอบ(อุมัร)”
อิมามญะวาด(อฺ)ได้กล่าวว่า “นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่คู่ควรแก่ท่านที่ท่านนบี(ศ)จะตั้งข้อสงสัยในเรื่องตำแหน่งการเป็นนบีของตัวท่านเอง เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการไว้ว่า :
“อัลลอฮ์ทรงคัดเลือกส่วนหนึ่งจากบรรดามะลาอิกะฮฺให้เป็นทูตและส่วนหนึ่งจากบรรดามนุษย์ขึ้นมาให้เป็นศาสนทูต…” (อัล-ฮัจญ์: ๗๕) แล้วเป็นไปได้อย่างที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนย้ายตำแหน่งนบีจากบุคคลที่อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงเลือกสรรไปยังบุคคลที่เคยตั้งภาคีต่อพระองค์”
ยะฮฺยากล่าวอีกว่า “มีรายงานบอกว่า : ท่านศาสนทูตกล่าวว่า “ถ้าหากโทษทัณฑ์ได้ถูกประทานลงมาแล้วไซร้ แน่นอนที่สุดจะไม่มีใครรอดปลอดภัยได้นอกจากอุมัร”
ท่านอิมามญะวาด(อฺ)ได้กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะอัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงมีโองการว่า “อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษพวกเขาเหล่านั้นอย่างแน่นอนในขณะที่เจ้ายังอยู่ท่ามกลางพวกเขา และอัลลอฮฺจะไม่เป็นผู้ลงโทษทัณฑ์เขาเหล่านั้น ในขณะที่พวกเขาขอการอภัยโทษอยู่” (อัล-อันฟาล: ๓๓) หมายความว่า อัลลอฮฺ(ซ.บ.)ทรงแจ้งให้ทราบว่า พระองค์จะไม่ลงโทษบุคคลใดตราบเท่าที่ศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ(ศ)ยังอยู่กับพวกเขาและตราบเท่าที่พวกเขายังอภัยโทษอยู่”(๑)
- อัล-เอียะฮฺติญาจญ์ เล่ม ๒ หน้า ๒๔๙