มุสลิมชีอะฮ์ กับหลักศรัทธา 5 ประการ (ตอนที่ ๑)

9

การศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว

อัล-กุรอานกล่าวว่า

أَفِي اللّهِ شَكٌّ فَاطِرِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ

มีการสงสัยในอัลลอฮฺ พระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกระนั้นหรือ (อิบรอฮีม / ๑๐)

ความรู้และการยอมรับในการมีอยู่ของพรระผู้เป็นเจ้าเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธทั้งหลายต่างก็ยอมรับว่าอัลลอฮฺคือพระผู้อภิบาลแห่งสากลโลก อัล-กุรอานกล่าวว่า

وَلَئِن سَأَلْتَهُم مَّنْ خَلَقَ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضَ وَسَخَّرَ الشَّمْسَ وَالْقَمَرَ لَيَقُولُنَّ اللَّهُ فَأَنَّى يُؤْفَكُونَ

และถ้าเจ้าถามพวกเขาว่า ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และเป็นผู้ทำให้ดวงตะวันและดวงเดือนเป็นประโยชน์ แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่าอัลลอฮฺ แล้วทำไมพวกเขาจึงหันเหออกไปทางอื่น (อังกะบูต / ๖๑)

ที่มาของคำสารภาพและการยอมรับว่าอัลลอฮฺ (ซบ.) คือพระผู้สร้างคือ พลังความรู้และความเข้าใจที่เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของมนุษย์ ที่พระองค์ทรงใส่ไว้ในมนุษย์ทุกคน ดังที่อัล-กุรอานกล่าวว่า

فَأَقِمْ وَجْهَكَ لِلدِّينِ حَنِيفًا فِطْرَةَ اللَّهِ الَّتِي فَطَرَ النَّاسَ عَلَيْهَا لَا تَبْدِيلَ لِخَلْقِ اللَّهِ ذَلِكَ الدِّينُ الْقَيِّمُ وَلَكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لَا يَعْلَمُونَ

ดังนั้น เจ้าจงผินหน้าของเจ้าสู่ศาสนาที่เที่ยงธรรมเถิด เป็นธรรมชาติของอัลลอฮฺที่พระองค์ทรงบันดาลมนุษย์มาบนนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในการบันดาลของอัลลอฮฺ นั่นคือศาสนาที่เที่ยงธรรม แต่มนุษย์ส่วนมากไม่รู้ (รูม / ๓๐)

แน่นอนพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานธรรมชาติดั้งเดิมนี้ไว้ในมนุษย์ทุกคน ดังนั้น โดยพื้นฐานของมนุษย์และตัวตนของเขาจึงมีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้เกิดขึ้นเองและอยู่ตามลำพัง ทว่าเขาได้สัมพันธ์ไปยังศูนย์พลังหนึ่งที่เป็นต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง และเป็นผู้ดูแลพร้อมทั้งให้การช่วยเหลือ คอยระมัดระวังการคิดและการกระทำ แหล่งกำเนิดนั้นเป็นผู้ควบคุมโลกและจักรวาและสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนขึ้นอยู่กับพระองค์ ซึ่งเราเรียกสิ่งนั้นว่าพระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างและมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง

บรรดานักวิชาการต่างยอมรับว่า สรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์และระเบียบต่าง ๆ และจากระบบระเบียบเหล่านั้นเองทำให้มวลสรรพสิ่งต่างได้รับประโยชน์ ตั้งแต่ประโยชน์ที่เล็กที่สุด เช่น อากาศที่ใช้หายใจ น้ำที่ใช้ดื่ม พืชพันธุ์ที่ใช้เป็นอาหาร และการได้รับประโยชน์จากพลังแสงอาทิตย์เป็นต้น นักวิชาการเหล่านั้นต่างยอมรับว่าสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกนี้กำเนิดมาจากแห่ลงเดียวกัน และอยู่ภายใต้กฎระเบียบเดียวกัน ธรรมชาติของมนุษย์ได้อธิบายว่าเมื่อมนุษย์ประสบความเดือดร้อน หรือมีความต้องการมนุษย์จะขอความช่วยเหลือไปยังสิ่งนั้น และเมื่อประสบปัญหาหรือภยันตรายมนุษย์จะขอความคุ้มครองจากพระองค์ และเมื่อได้รับความโปรดปรานมนุษย์ก็จะขอบคุณ แน่นอนความความเข้าใจและความรู้สึกเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับความอ่อนแอและความโง่เขลา เพราะไม่ว่ามนุษย์จะเป็นใครก็ตามถ้าหากเขาได้ละทิ้งความรู้ ความเชื่อทางศาสนา ความเคยชิน และประเพณีต่าง ๆ และสมมุติว่าตนเป็นสรรพสิ่งหนึ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาในตอนนั้น ไม่เคยเห็นใคร ไม่เคยได้ยินคำพูดใดมาก่อน ตอนนั้นลองพิจาณาตัวเองและโลก ดุูซิว่าเราจะเห็นอะไร

มนุษย์จะเห็นตัวเองว่ามีดวงตา มีหู มีสติปัญญา มีความเข้าใจและเป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่บนโลกที่มีความกว้างใหญ่ไพศาล และเมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวเองเขาก็จะไม่เห็นความสิ้นสุดของโลก แต่จะเห็นว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่เสียเหลือเกินเมือเทียบกับตัวเอง เมื่อก้มดูพื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ยิ่งพบความอัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย เมื่อแหงนดูท้องฟ้าก็จะเห็นชั้นบรรยากาศที่อยู่ไกลแสนไกล เราได้มายืนอยู่บนโลกนี้ได้เห็นการหมุนและการโคจรรอบตัวเอง ได้เห็นดวงตะวันและดวงเดือนขึ้นและตก ได้เห็นการเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืนอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นการหมุนเวียนของเดือนและฤดูกาลต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบ เมื่อความมืดแห่งราตรีกาลได้ครอบงำเราก็จะเห็นดวงหมู่ดวงดาวส่งแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า เราได้เห็นพืชพันธุ์และต้นไม้ขึ้นอยู่เต็มพื้นดิน ซึ่งต้นไม้บางประเภทมีเมล็ดเล็กเพียงนิดเดียวซึ่งในตอนแรกเล็กกว่าปลายนิ้วเสียอีก ต่อมาเมล็ดนั้นได้งอกเป็นต้นไม้มีกิ่งก้านสาขา ผลิดอกออกใบเป็นสีสันต่าง ๆ สวยงาม และให้ผลที่มีรสชาติแตกต่างกันออกไป เมื่อมองดูสรรพสัตว์จะเห็นว่ามีมากมายหลายพันธ์ทั้งเล็กและใหญ่ มีทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำแตกต่างกันออกไป เราได้เห็นสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเกิดขึ้นมีชีวิต และตายจากไปเป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนอยู่เป็นเวลานาน เราได้เห็นวิถีชีวิตทั้งของพืช สัตว์ และมนุษย์

เราได้พบความยิ่งใหญ่และความพิศวงในการสร้างตัวเองทั้งโครงร่าง กระดูก เส้นเลือดทั้งเล็กใหญ่ทั่วร่างกาย ความประหลาดของกะโหลกศีรษะ ตา หู ใบหน้า ระบบขับถ่าย ระบบการหมุนเวียนของโลหิต การเต้นของหัวใจ ลักษณะของนิ้วมือ และลายนิ้วมือ ขั้นตอนการจัดวางอวัยวะต่าง ๆ การย่อยของอาหาร และวัตถุดิบที่ใช้เสริมสร้างอาหาร อวัยวะส่วนที่ใช้ในการสืบพันธ์ หรือส่วนที่ใช้ห่อหุ้มทารกน้อยเมื่ออยู่ในครรภ์ จิตใจ สติปัญญา ความต้องการ การนึกคิด การจินตนาการ หรือดวงตาและส่วนประกอบต่าง ๆ ของตาที่ใช้ในการมองและบันทึกภาพเมื่อมนุษย์พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาต้องสารภาพว่าทุกสิ่งที่เห็นและเป็นไปไม่ใช่ความบังเอิญ แต่ทุกสิ่งมีที่มาและที่ไปของมัน

ในสภาพเช่นนั้นมนุษย์จะได้เห็นความประสงค์ที่เป็นหนึ่งเดียว ความปรารถนาที่เป็นหนึ่ง ชีวิตที่เป็นหนึ่ง อำนาจ ความรู้ และการมีอยู่ที่เป็นหนึ่ง ซึ่งคุณลักษณะเช่นนี้คือหัวใจและชีวิตของจักรวาล พระองค์เป็นผู้ควบคุมดูแลเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล ทรงรอบรู้ และมีอำนาจเหนือทุกสรรพสิ่ง ทรงทำให้สรรพสิ่งเหล่านั้นเคลื่อนไหวและหมุนเวียนไปตามกาลเวลา หรือแม้แต่ตัวเองการดำรงอยู่และเป็นไปล้วนเกี่ยวข้องกับพระองค์ทั้งสิ้น

ถึงแม้ว่าเราไม่สามารถมองเห็นแก่นแท้ของพระองค์ หรือเข้าใจถึงความเร้นลับในการสร้างของพระองค์ได้ แต่อย่างน้อยเราก็รับรู้ว่าโลกนี้มีพระผู้สร้างและรู้ว่ามนุษย์ทุกคนก็มีความรู้สึกนี้ สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ล้วนเกี่ยวข้องกับพระองค์และยอมรับในการมีอยู่ของพระองค์ แน่นอนเป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งเมื่อยอมรับในความยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้วก็จะก้มกราบพระองค์ด้วยความนอบน้อม อัล-กุรอานกล่าวว่า

وَلِلّهِ يَسْجُدُ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ طَوْعًا وَكَرْهًا

และผู้อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินต่างก็สญูดต่ออัลลอฮฺด้วยความภักดีและด้วยความจำยอม (อัร เราะอฺดุ / ๑๖)

อัล-กุรอานกล่าวว่า

إِنَّ فِي خَلْقِ السَّمَاوَاتِ وَالأَرْضِ وَاخْتِلاَفِ اللَّيْلِ وَالنَّهَارِ لآيَاتٍ لِّأُوْلِي الألْبَابِ

แท้จริงในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และการเปลี่ยนของกลางวันและกลางคืน ล้วนสัญญาณสำหรับผู้มีวิจารณญาณ (อาลิอิมรอน / ๑๙๐)

สำหรับผู้ที่มีสติปัญญาถ้าไตร่ตรองสักนิดเขาจะรู้สึกว่าทั่วทั้งจักรวาลเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต มีความรู้สึก มองเห็น และได้ยิน สรรพสิ่งเหล่านั้นได้ใช้ภาษาใจเรียกร้อง วิงวอน แซ่ซ้องสรรเสริญ ยอมรับการมีอยู่และสดุดีในความบริสุทธิ์ของพระองค์ อัล-กุรอานกล่าวว่า

يُسَبِّحُ لِلَّهِ مَا فِي السَّمَاوَاتِ وَمَا فِي الْأَرْضِ الْمَلِكِ الْقُدُّوسِ الْعَزِيزِ الْحَكِيمِ

สิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลาย และสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินต่างแซ่ซ้องสดุดีแด่อัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิสิทธิ์ ผู้ทรงบริสุทธิ์ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ (ญุมุอะฮฺ / ๑)

เป็นธรรมดาที่มนุษย์ให้ความสำคัญต่อพระผู้สร้างตน และถวิลหาพระองค์ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เป็นเช่นนี้ ตรงนี้เองที่การเคารพภักดีและการเชื่อฟังปฏิบัติตามได้เกิดขึ้น ส่วนบุคคลที่กระทำความผิดก็จะวิงวอนขอการลุแก่โทษเพื่อการกลับตัวกลับใจ และปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่การเป็นบ่าวของตนให้ดีที่สุด ปรารถนาที่จะรู้จักพระองค์ ยอมเชื่อฟังและปฏิบัติตาม และจะไม่กระทำความผิดอีกต่อไป

ท่านอิมามซอดิก (อ.) กล่าวว่า

وَجَدتُ عِلْم النَّاس كُلِّهِم مِنْ اَربعَ : اوَّلها ، ان تعرف ربَّكَ ، وَالثَّانى ان تعرف ما صنع بك ، والثَّالث ان تعرف ما ارادَ منك ، والرابع ان تعرف مايخرجك من دينك

ฉันพบว่าความรู้ทั้งหมดของมนุษย์พบได้ใน ๔ ประการกล่าวคือ

๑. การรู้จักพระผู้อภิบาลของตน

๒. การรู้จักสิ่งที่พระองค์ได้สร้างมาเพื่อเจ้า

๓. การรู้จักสิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเจ้า

๔. การรู้จักสิ่งที่ชักชวนเจ้าออกจากศาสนา (คิซอล เชคซะดูก บาบที่ ๔ ฮะดีซที่ ๘๗)

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวว่า อัลลอฮฺ ทรงประทานศาสดาลงมาเพื่อนำพามนุษย์ไปสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพื่อให้มนุษย์รำลึกถึงความโปรดปรานของพระองค์ นำพามนุษย์ไปสู่เหตุผลของพระองค์ เปิดเผยความลับของพระองค์ที่อยู่ในใจของมนุษย์ และชี้นำให้มนุษย์พิจารณาสัญลักษณ์ต่าง ๆ ของพระองค์ที่อยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน (นะฮฺญุลบะลาเฆาะฮฺ คุฏบะฮฺที่ ๑)

ความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

หลักเอกภาพ ถือเป็นรากฐานเบื้องต้นของศาสนา

หลักเอกภาพหมายถึง ความเชื่อในความเป็นเอกานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าแห่งเอกภพ พระองค์ไม่มีส่วนประกอบและคุณลักษณะที่เพิ่มไปเหนือซาตของพระองค์ ซึ่งขอชี้แจงเหตุผลบางประการเกี่ยวกับเรื่องนี้

แน่นอน เมื่อมนุษย์พิจารณาเกี่ยวกับสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเอกภพเขาจะเห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเป็นระบบระเบียบที่เฉพาะระหว่างสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ ซึ่งแต่ละสิ่งมีความสมบูรณ์แตกต่างกัน ไม่เท่ากับในเชิงปริมาตรและคุณลักษณะของการสร้าง ทว่า ทุกสรรพสิ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน เช่น อวัยวะต่าง ๆ บนเรืองร่างมนุษย์ถูกบริหารภายใต้กฎเกณฑ์ที่มั่นคงเดียวกัน มนุษย์สามารถประจักษ์ถึงความเป็นระบบระเบียบที่รัดกุมเป็นหนึ่งเดียวกันของเอกภพ ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจบ่งบอกเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากความเป็นเอกานุภาพของพระผู้สร้าง พระองค์ตรัสไว้ในอัล-กุรอานว่า

وَمَا كَانَ مَعَهُ مِنْ إِلَهٍ إِذًا لَّذَهَبَ كُلُّ إِلَهٍ بِمَا خَلَقَ وَلَعَلَا بَعْضُهُمْ عَلَى بَعْضٍ

ไม่มีพระเจ้าอื่นใดร่วมเป็นภาคีกับพระองค์ หากเป็นเช่นนั้น พระเจ้าแต่ละองค์ก็จะเอาสิ่งที่ตนสร้างไปเสียหมด และแน่นอนพระเจ้าบางองค์ในหมู่พระเจ้าเหล่านั้นย่อมมีอำนาจเหนือกว่าอีกบางองค์[๑]

อีกนัยหนึ่งปรากฏการณ์ต่าง ๆ ของทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นในเอกภพนี้ ถึงแม้ว่าจะมีลักษณะที่แตกต่างและมีแก่นแท้ไม่เหมือนกัน ทว่าทั้งหมดเหล่านั้นอยู่ภายใต้ระบบเดียว และทุกสรรพสิ่งต่างดำเนินไปตามครรลองของตัวเองที่ถูกกำหนดไว้เฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษสำหรับสิ่งนั้น ด้วยเหตุนี้เองจึงได้รับการปกป้องจากความเสียหายและความระส่ำระสายต่าง ๆ สิ่งที่กล่าวมาไม่สามารถอธิบายเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากความเป็นเอกานุภาพของพระผู้สร้าง ผู้ทรงบันดาลปรากฏการต่าง ๆ และเป็นผู้จัดระเบียบให้กับจักรวาล

อัลลอฮฺ (ซบ.) ตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

لَوْ كَانَ فِيهِمَا آلِهَةٌ إِلَّا اللَّهُ لَفَسَدَتَا

หากในชั้นฟ้าและแผ่นดินมีพระเจ้าหลายองค์นอกจากอัลลอฮ์แล้ว ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างแน่นอน [๒]

เมื่อมนุษย์ถ้าพิจารณาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับตัวเอง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่รอบด้านไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล ป่าไม้ มหาสมุทร ท้องฟ้า พื้นดิน ดวงตะวัน ดวงดาว กลางคืน กลางวัน และฤดูกาลต่าง ๆ ในรอบปี พร้อมทั้งพิจารณาถึงความเป็นระบบระเบียบที่ครอบคลุมเหนือสรรพสิ่งเหล่านั้น จะเห็นได้ว่าจักรวาลกับระบบที่คอยควบคุมมีความสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน สิ่งนี้ได้สร้างความอัศจรรย์ใจยิ่งถึงการมีอยู่ของพระผู้สร้างผู้เป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ดังที่พระองค์ได้ยืนยันถึงความเป็นเอกานุภาพของพระองค์ว่า

شَهِدَ اللّهُ أَنَّهُ لاَ إِلَهَ إِلاَّ هُوَ

อัลลอฮฺ (กับการสร้างจ้กรวาลและระบบ) ทรงยืนยันว่า แท้จริงไม่มีผู้ใดคู่ควรต่อการเคารพภักดี นอกจากพระองค์เท่านั้น [๓]

พระองค์ทรงอธิบายถึงความเป็นเอกานุภาพของพระองค์ที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนไว้ว่า

قُلْ هُوَ اللَّهُ أَحَدٌ اللَّهُ الصَّمَدُ لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ وَلَمْ يَكُن لَّهُ كُفُوًا أَحَدٌ

จงกล่าวเถิด มุฮัมมัด พระองค์คืออัลลอฮฺผู้ทรงเอกะ อัลลอฮฺทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ให้กำเนิดและพระองค์ไม่ถูกดำเนิด และไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ [๔]

ท่านอิมามอะลี (อ.) กล่าวกับอิมามฮะซัน (อ.) บุตรชายของท่าน ว่า “โอ้บุตรชาย จงมั่นใจเถิดว่า ถ้าหากพระผู้อภิบาลของเจ้าทรงมีหุ้นส่วน พระองค์ก็ต้องส่งศาสนทูตทั้งหลายมายังเจ้า และเจ้าก็จะได้เห็นอำนาจปกครองและเดชานุภาพของพระองค์ และเจ้าก็คงจะรู้ถึงการกระทำและคุณลักษณะของพระองค์ ทว่าพระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นเอกะ ดุจดังเช่นที่พระองค์ได้อธิบายถึงคุณลักษณะของพระองค์ไว้” [๕]

แน่นอน เอกภพนี้มีพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเอกะเพียงองค์เดียว พระองค์ทรงวิทยปัญญา ทรงเดชานุภาพ ซึ่งการกำเนิด การดำรงอยู่ และความเป็นไปของเอกภพทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่พระองค์ ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกเหนือพลานุภาพของพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงเมตตา ทรงกรุณา ทรงโอบอ้อมอารี พระองค์ไม่ได้สร้างสิ่งใดมาอย่างไร้แก่นสาร และพระองค์ปราศจากเรือนร่างและไม่ใช่วัตถุ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ สำหรับพระองค์ พระองค์ทรงรอรู้และมีอำนาจครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่งในสากลโลก พระองค์ทรงดำรงอยู่เสมอและจะดำรงต่อไปเป็นนิรันดร์

อ้างอิง

[๑] (มุอฺมินุน ๙๑)

[๒] (อัมบิยาอฺ ๒๒)

[๓] (อาลิอิมรอน ๑๘)

[๔] (อิคลาซ)

[๕] (นะญุลบะลาเฆาะฮฺ ซุบฮิซอลิฮฺ จดหมายที่ ๓๑)